ทำไมถึงควรหลีกเลี่ยง “น้ำตาล”

ในภาษาอังกฤษจะมีคำที่กล่าวว่า “Sugar is an empty calorie” ซึ่งไม่ได้หมายความว่าน้ำตาลไม่ให้พลังงานนะคะ แต่ความหมายของประโยคนี้คือน้ำตาลไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรเลยในคุณค่าทางโภชณาการ ยกเว้นความหวาน และพลังงานที่ทำให้เราอ้วน

จากงานวิจัยพบว่าประเทศไทยเรา เป็นประเทศที่กินหวานรองจากประเทศบราซิลเท่านั้น โดยมีค่าเฉลี่ยการกินน้ำตาลมากถึง 36 กิโลกรัมต่อปี ในขณะที่เราไม่ควรรับประทานน้ำตาลเกินปีละ 9 – 10 กิโลกรัมในหนึ่งปี

การรับประทานน้ำตาลเชิงเดี่ยว เช่นน้ำตาลจากผลไม้ น้ำผึ้ง น้ำตาลทราย จะสามารถซึมเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว และทำให้เลือดของเราเป็นกรดทำให้ร่างกายของเราเกิดความไม่สมดุล

โทษของการกินหวานมากเกินไป

เมื่อร่างกายของเราไม่สมดุลจากการเป็นกรดของเลือด ร่างกายของเราก็จะนำแร่ธาตุต่าง ๆ ออกมาใช้ โดยเฉพาะแคลเซียม แมกนีเซียม ส่งผลให้กระดูกผุกระดูกบางได้จากการรับประทานน้ำตาล

ทำให้เกิดการสะสมไขมันที่ตับ

การรับประทานหวานมากเกินไปจะทำไขเกิดการสะสมไขมันที่ตับ และเมื่อตับไม่สามารถรับน้ำตาลในรูปแบบไกลโคเจนได้ก็จะถูกเป็นเป็นกรดไขมัน และสะสมในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายที่มีการเคลื่อนที่น้อย เช่น ก้น สะโพก ต้นขา

เมื่อไขมันเกิดการสะสมที่ตับจำนวนมาก จะทำให้เกิดไขมันพอกตับและเป็นเหตุทำให้เกิดตับอักเสบ ซึ่งเราจะพบว่าในบางคนไม่เคยกินเหล้ามาก่อนแต่ก็เกิดปัญหาตับอักเสบ สาเหตุหนึ่งก็คือการกินหวานมากเกินไปนี่เอง

น้ำตาลทำให้โรคที่เกี่ยวกับการติดเชื้อรุนแรงขึ้น

สาเหตุที่น้ำตาลสามารถทำให้โรคที่เกี่ยวกับการติดเชื้อรุนแรงขึ้นเนื่องจากเชื้อโรคชอบกินน้ำตาลเป็นอาหาร และนอกจากโรคที่เกี่ยวกับการติดเชื้อแล้ว มะเร็งยังชื่นชอบร้ำตาลอีกด้วย การรับประทานน้ำตาลมาก ๆ จะยิ่งทำให้เซลล์มะเร็งกระจายตัวได้มากขึ้นด้วย

ทำให้เด็กสมาธิสั้น

การรับประทานน้ำตาลมาก ๆ นอกจากจะทำให้ฟันผุและกระดูกบางแล้ว ยังทำให้เด็กสมาธิสั้นด้วยนะคะ ซึ่งการที่เด็กสมาธิสั้นจะส่งผลกับการเรียนรู้และพัฒนาการของเด็กทั้งในปัจจุบันและอนาคตด้วยค่ะ

ทำให้หน้าเหี่ยว

การรับประทานหวานมากเกินไปสามารถทำให้เราแก่ก่อนวัยได้ด้วยนะคะ เพราะน้ำตาลจะไปจับกับคอลลาเจนส่งผลให้ความยืดหยุ่นของคอลลาเจนลดลง ไม่เกิดการดีดกลับของผิวและเกิดการห้อยย้อย


ในเรื่องของการรับประทานน้ำตาลไม่ควรรับประทานเลยหากไม่จำเป็น หรือให้รับประทานหวานแต่พอดี หรือเลือกรับประทานความหวานจากธรรมชาติก็เพียงพอกับความต้องการของร่างกายแล้วค่ะ

นางสาวไทยปี 2541 จบปริญญาเอกสาขาวิทยาศาสตร์การชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง รวมถึงสอบผ่านมาตรฐานผู้มีวิชาชีพด้านสุขภาพวิทยาศาสตร์ชะลอวัยจาก American Board Anti-Aging Health Practitioner สถาบัน A4M และปัจจุบันกำลังศึกษาต่อปริญญาเอกด้าน Anti Aging and Regenerative Science ที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
ติดตามความเห็น
รูปแบบการแจ้งเตือน
guest
0 Comments
Inline Feedbacks
View all comments