ไหล่ห่อคอตก (Text Neck Syndrome)

     ปฏิเสธไม่ได้เลยนะคะว่าในวันนี้แทบทุกช่วงอายุของหลายคนใช้เวลากับการจ้องจอสมาร์ทโฟนขนาดเล็กอยู่บ่อยมากในแต่ละวัน ซึ่งสำหรับคนที่มีท่าทางในการจ้องจอสมาร์ทโฟนไม่ถูกต้องก็อาจจะเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดโรค “ไหล่ห่อคอตก” (Text Neck) จากการใช้งานสมาร์ทโฟนได้  ซึ่งอาการ “ไหล่ห่อคอตก” นี้สามารถสร้างความเจ็บปวดให้เรามีอาการแย่ได้มากกว่า Office Syndrome เลยนะคะ

Office Syndrome เป็นอาการที่จะเกิดขึ้นกับคนที่นั่งทำงานนาน ๆ มีการปวดเมื่อยและมีปัญหาตรงข้อมือ แต่ในอาการของ Text Neck Syndrome จากการใช้สมาร์ทโฟนจะมีผลกับกระดูกคอที่ยื่นออก ทำให้บางทีมีอาการปวดบ่า ปวดคอ แบบไม่ทราบสาเหตุ

ในบางกรณีของอาการ Text Neck Syndrome สำหรับบางคนอาจเข้าขั้นติดสมาร์ทโฟนได้เลยนะคะ อย่างในบางวันที่ไม่มีสมาร์ทโฟนให้ใช้งานก็จะเกิดอาการนอย อาการกังวล หรืออื่น ๆ ขึ้นมาได้ในบางคน หรือชื่อที่เป็นทางการคือ “No mobile phone phobia”

ความเสี่ยงในการเกิด Text Neck Syndrome

     โรค “ไหล่ห่อคอตก” หรือ “Text Neck Syndrome” มีการศึกษาสาเหตุการเกิดชัดเจน  ซึ่งการใช้งานสมาร์ทโฟนมากกว่า 10 ชั่วโมงต่อวัน  เนื่องจากเราจะเผลอกดองศาคอลงมาที่ประมาณ 60 องศาเพื่อจ้องมองจอสมาร์ทโฟน  ทำให้คอของเราต้องรับน้ำหนักหัวมากขึ้นถึง 6 เท่าหรือประมาณ 25 – 30 กิโลกรัม

     เมื่อคอและส่วนเชื่อมต่อของเราต้องรับน้ำหนักมากขนาดนั้น  ก็จะมีอาการปวดหัว ปวดคอ  ปวดหลัง  ปวดไหล่   รวมถึงอาการนิ้วมืออ่อนปรงก็สามารถเกิดขึ้นได้เช่นกันค่ะ  มีความเสี่ยงกับเรื่องความดันในหมอนรองกระดูกของเรามากดทับไขสันหลังจนเกิดการเคลื่อนหรือแตกได้เลยนะคะ

วิธีหลีกเลี่ยงการเกิด Text Neck Syndrome เมื่อมีความจำเป็นต้องใช้สมาร์ทโฟน

     ในยุคปัจจุบันที่จำเป็นต้องมีการรับรู้ข่าวสารฉับไวอาจจะเป็นเรื่องยากที่จะจำกัดการใช้งานสมาร์ทโฟนของเราหรืองดใช้งานไปเลย  แต่เราสามารถเปลี่ยนวิธีการใช้งานเพื่อให้ร่างกายของเรารับภาระน้อยลงเพื่อให้อาการ “ไหล่ห่อคอตก” หรือ Text Neck Syndrome มีโอกาสเกิดขึ้นกับเราน้อยที่สุด

ลดองศาในการก้มลงเหลือประมาณ 15 องศา

     ยิ่งองศาในการก้มของเราน้อยลงเท่าไหร่ การรับน้ำหนักหัวของคอเราก็จะต่ำลงเท่านั้นนะคะ อย่างปกติถ้าเราก้ม 60 องศา คอของเราจะรับน้ำหนักประมาณ 25 – 30 กิโลกรัม ในขณะที่ถ้าเราตั้งหัวตรงคอจะรับน้ำหนักเพียง 5 กิโลกรัม

     ถ้าเราลดองศาการก้มมองสมาร์ทโฟนเหลือประมาณ 15 องศา คอของเราก็จะรับหน้ำหนักหัวอยู่ที่ประมาณ 12 กิโลกรัม ซึ่งน้อยกว่าการก้มปกติเกินครึ่งกันเลยค่ะ แต่ถึงเราจะก้มมองสมาร์ทโฟนแค่ 15 องศาแต่ก็ไม่ควรก้มมองนานเช่นกันนะคะ

พักสายตาทุก ๆ 15 นาที

     เราควรจะพักสายตาทุก ๆ 15 นาทีทั้งการใช้งานสมาร์ทโฟนหรือจอคอมพิวเตอร์ค่ะ  สำหรับการใช้งานสามาร์ทโฟนเมื่อเราพักสายตาแล้วก็ให้คอของเรากลับมาอยู่ในแนวตั้งตรงด้วยนะคะ     นอกจากอาการ Text Neck Syndrome แล้ว  การพักสายตายังช่วยถนอมดวงตาของเราจากรังสีของจอภาพด้วยค่ะ

ออกกำลังกายบริเวณคอและไหล่

     หากเรายังจำเป็นต้องก้มหน้าเพื่ออัปเดตเรื่องราวต่าง ๆ บนโลกออนไลน์ผ่านจอสมาร์ทโฟนแล้ว  การบริหารร่างกายบริเวณคอและไหล่ของเราก็จำเป็นเช่นกันค่ะ  ซึ่งนกจะมานำเสนอท่าออกกำลังกายแบบง่าย ๆ เพื่อบริหารคอและไหล่กันค่ะ

     ท่าแรกเริ่มจากการยืนตรงแล้วยกแขนพับขึ้นตั้งฉากเหมือนรูปแรก  จากนั้นกดแขนลงเหมือนรูปที่สองสลับขึ้นลงแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ค่ะ เซตละ 15 ครั้ง  โดยจะทำกี่เซตก็ได้นะคะ

     อีกหนึ่งท่าบริหารคอและไหล่มีชื่อเรียกกันง่าย ๆ ว่า “ท่าถอดเสื้อ” ซึ่งนกไม่แน่ใจว่าจะอธิบายท่าทางด้วยการพิมพ์ว่าอย่างไร  เป็นการเลียนแบบท่าในการถอดเสื้อเรียงลำดับตามวิดีโอเลยนะคะ

     ท่าสุดท้ายนกขอเรียกมันว่า “ท่าพายเรือ” นะคะ  เริ่มจากการปล่อยแขนและงอข้อศอกให้มือตั้งฉากชี้ไปด้านหน้า  จากนั้นยืดแขนพุ่งตรงออกไปด้านหน้าเลยค่ะ  และวาดกางแขนออกด้านข้างแล้ววนกลับมาให้แขนตั้งฉากข้างลำตัวของเราอีกครั้งเรื่อยไปประมาณ 15 นาทีนะคะ

โรคซึมเศร้าเกี่ยวอะไรกับ Text Neck Syndrome

     หลังจากเราเข้าสู่ยุคสังคมก้มหน้าอย่างในปัจจุบัน เราก็จะเห็นผลจากการคุกคามของโรคซึมเศร้ากันมากขึ้นในสื่อหลาย ๆ ช่องทาง โดยเราจะสามารถบอกได้ว่าเราเป็นโรคซึมเศร้าหรือไม่นั้นต้องได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ก่อนนะคะ เพราะหลาย ๆ กรณีเราก็ไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้าค่ะ แต่หากเรามีอาการ 9 ประการต่อไปนี้ ให้เราเข้าตรวจกับแพทย์เฉพาะทางเพื่อหาทางแก้ไขกันค่ะ เพราะเรามีโอกาสจะเป็นโรคซึมเศร้าค่ะ

มีอารมณ์ซึมเศร้า หงุดหงิด หรือก้าวร้าว

ขาดความสนใจในสิ่งรอบข้าง

ไม่มีสมาธิ ใจลอย ลังเล

อ่อนเพลีย ไร้เรี่ยวแรง

เชื่องช้าหรือกระวนกระวายอยู่ไม่เป็นสุข

นอนไม่หลับ

เบื่ออาหารหรือเจริญอาหารมากกว่าปกติ

รู้สึกตนเองไร้ค่า

คิดอยากตาย

     ถ้าหากใครมีอาการ 9 ข้อนี้หรือมี 2 ข้อที่เกิดติดต่อกันเป็นเวลา 2 สัปดาห์ควรที่จะต้องพบจิตแพทย์เพื่อให้แพทย์วินิจฉัยอาการว่าเรามีความเสี่ยงในการเป็นโรคซึมเศร้าหรือไม่  และไม่ต้องกลัวนะคะว่าการไปพบจิแพทย์จะหมายถึงการเป็นคนโรคจิต  เพราะว่าจิตแพทย์สามารถช่วยเหลือเราได้หลายด้านมากเลยค่ะ  ไม่ว่าจะเป็นด้านปัญหาชีวิตคู่  ชีวิตรัก  ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่มาปรึกษาจิตแพทย์เช่นกัน

นางสาวไทยปี 2541 จบปริญญาเอกสาขาวิทยาศาสตร์การชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง รวมถึงสอบผ่านมาตรฐานผู้มีวิชาชีพด้านสุขภาพวิทยาศาสตร์ชะลอวัยจาก American Board Anti-Aging Health Practitioner สถาบัน A4M และปัจจุบันกำลังศึกษาต่อปริญญาเอกด้าน Anti Aging and Regenerative Science ที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
ติดตามความเห็น
รูปแบบการแจ้งเตือน
guest
0 Comments
Inline Feedbacks
View all comments