คุณเป็นคนหนึ่งหรือเปล่าที่ติดหวาน ?
สวัสดีค่ะคุณผู้อ่านทุกท่าน คุณผู้อ่านเป็นคนหนึ่งหรือเปล่าที่ติดหวาน ? อย่างที่ทราบกันดีว่า น้ำตาลหรือรสหวาน ส่งผลเสียต่อสุขภาพมากมาย แต่หลายคนยังคงติดรสหวาน ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าความอร่อยหวานลิ้นนั้น สวนทางกับประโยชน์ที่ได้รับ แต่ครั้นจะลดของหวานทีก็ไม่ใช่เรื่องง่ายใช่ไหมคะ
วิธีช่วยลดน้ำตาล
ใครรู้ตัวว่าชอบของหวานมากจนไม่สามารถหักห้ามใจได้ ลองมาดู 9 วิธีช่วยลดน้ำตาลกัน!
① หลีกหนีเครื่องดื่มหวาน ๆ
หากตอนเช้าตื่นมา ต้องดื่มกาแฟเย็น 1 แก้ว พอบ่ายๆ ก็ต้องมีชาเย็น ชานมไข่มุก หรือชาเขียวปั่น อีกสักแก้ว พ่วงวิปครีมเป็นท๊อปปิ้งด้วย ใครที่ชีวิตประจำวันเป็นแบบนี้บ้างคะ บอกได้เลยค่ะ คุณติดรสหวานเข้าให้แล้ว อันดับแรกของการลด ละ เลิกน้ำตาล คือการตัดพวกเครื่องดื่มสุดหวานน้ำตาลเพรยบก่อนเป็นอันดับแรกนะคะ หันมาดื่มเครื่องดื่มดีต่อสุขภาพ เช่นชาสมุนไพรชาร้อน กาแฟร้อนที่ไม่เติมน้ำตาลจะดีกว่าค่ะ และหากเปลี่ยนเป็นน้ำเปล่าเลย จะดีเยี่ยมมากค่ะ เครื่องเทศ เช่นอบเชย เมื่อต้มในน้ำร้อนเดือดๆ จะมีรสหวานชื่นใจตามธรรมชาตินะคะ หล่อฮั่งก้วยก็เช่นกัน หญ้าหวานสามารถนำมาต้มเป็นเครื่องดื่ม ร้อน เย็น หวานน้อยๆ ชื่นใจไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และช่วยลดอักเสบได้ โดยเฉพาะอบเชย ตะไคร้ มะตูม อัญชัน ใบเตยก็หอมอร่อยชื่นใจ แค่ไม่ใส่น้ำเชื่อมก็เจ๋งสุดเลยค่ะ
② ทานมื้อเช้า
มื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญมาก นอกจากจะช่วยในการเติมพลังงานให้ร่างกายและสมองแล้ว ยังช่วยลดความอยากของหวานๆด้วย เนื่องจากหากเราอดมื้อเช้า ความอยากจะกระตุ้นให้ร่างกายโหยของหวานค่ะ
③ เลือกผลไม้ที่มีน้ำตาลน้อย
จริงอยู่ที่ว่า การทานผลไม้มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่จะดีที่สุดสำหรับที่จะเลิกติดรสหวาน คือการเลือกผลไม้ที่มีน้ำตาลน้อยๆ กากใยเยอะๆ เช่น ฝรั่ง แอ๊ปเปิ้ล กล้วย แก้วมังกร สับปะรด มะละกอ ส้ม
④ ดื่มน้ำให้เพียงพอ
ในช่วงแรกที่เราเริ่มลดของหวาน ร่างกายอาจขาดน้ำ หรือปวดหัวได้ ดังนั้นควรดื่มน้ำให้เพียงพอ เพราะจะช่วยให้เรารู้สึกอิ่มและลดความอยากของหวานลงได้ สูตรที่นกแนะนำก็คือ ดื่มน้ำเปล่า 30 cc ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมค่ะ คำนวณคร่าวๆ น่าจะวันละสองลิตร การดื่มน้ำนี่สำคัญและจำเป็นมากสำหรับกระบวนการดีท๊อกซ์ ขับของเสียออกจากร่างเรานะคะ
⑤ อ่านฉลากเสมอ
ในฉลากอาหารแต่ละประเภท จะมีรายละเอียดระบุไว้อยู่แล้วว่ามีน้ำตาลมากน้อยแค่ไหน แต่จะอยู่ในหลายรูปแบบ เช่น Maple Syrup, Corn Syrup, Cane Sugar , Honey ดังนั้นเราควรอ่าฉลากทุกครั้งว่าอาหารที่เราทานเข้าไปมีน้ำตาลแอบซ่อนอยู่ปริมาณเท่าไหร่ค่ะ
⑥ ฝึกทานอาหารจืด ๆ
เริ่มต้นการทานอาหารจืด ๆ โดยการไม่ปรุงรสเพิ่ม เช่น ทานก๋วยเตี๋ยว ผัดซีอิ้ว ทำมาอย่างไร ลองทานไปอย่างนั้น ฝึกทานไปเรื่อยๆค่ะ แม้แต่พวกเครื่องดื่ม เช่น นมรสจืด น้ำเต้าหู้รสจืด หรือหากจะเติมจริงๆ แนะนำให้ใส่ช้อนตวงแทนการเทลงไปค่ะ เพราะจะทำให้เรามองเห็นปริมาณในช้อนว่าเราใส่ในปริมาณไม่น้อยเลยทีเดียว และจะทำให้เรารูสึกไม่อยากเติมเพิ่มอีกค่ะ
⑦ บันทึกทุกสิ่งที่คุณทาน
การบันทึกอาหารในแต่ละมื้อแบบฟู้ดไดอารี่ จะทำให้เราเห็นชัดเจนว่าจริง ๆ แล้วเราได้รับความหวานมาจากแหล่งไหน เราจะได้ลดได้ตรงจุดมากขึ้น บางทีเราอาจจะตกใจกับลิสต์อาหารที่มีแต่ของหวาน ๆ ก็เป็นไปได้
⑧ ไม่ซื้ออาหารตอนหิวจัด
เวลาที่เราหิวจัดๆมักจะเห็นอะไรน่าทานไปซะหมดทุกอย่ามีโอกาสสูงมากที่เราจะเผลอซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้า โดยเฉพาะเมนูอ้วน ๆ เค้ก ขนมปัง เบเกอร์รี่ ไอศกรีม มาตุนไว้ที่บ้าน ดังนั้นเมื่อรู้ตัวว่าหิวจัด ต้องทานอาหารให้เรียบร้อยก่อน ก่อนไปเดินเลือกซื้อของนะคะ
⑨ นอนหลับให้เพียงพอ
ดูเหมือนข้อนี้จะไม่ค่อยเกี่ยวนะคะ ลองสังเกตดูซิคะว่า หากเมื่อไหร่ที่เรานอนไม่พอ ไม่สดชื่น ร่างกายมักจะรู้สึกอยากทานอะไรหวานๆ เพื่อเพิ่มความสดชื่นให้ร่างกาย หนำซ้ำบางทีถ้านอนดึก เราก็ทานดึกอีก ทำให้โรคอ้วนมาเยือนได้ง่าย ๆ นะคะ เราต้องการการหลับอย่างมีคุณภาพ 7-8 ชม ต่อคืนเพียงให้ร่างกายได้ฟื้นฟูสภาพตัวเอง หลั่งฮอร์โมนซ่อมแซมและเสริมสร้าง เข้านอนสี่ทุ่มได้ยิ่งดีค่ะ
การลดน้ำตาล ลดของหวาน ลดเครื่องดื่มหวาน ๆ ไม่ง่ายแต่ก็ไม่ยากเกินไปนะคะ ลองเอาเทคนิคเหล่านี้ไปลองใช้ดูค่ะ เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวเราเองนะคะแวะมาคุยเรื่องสุขภาพกับนกได้ที่แฟนเพจ Facebook: Health Society by Nok Chalida ที่อินสตาแกรม NokHealthSo หรือ Line Official: @HealthSocieity นะคะ และอย่าลืม Subscribe รายการ Health Society by Nok Chalida ทาง YouTube พร้อมชมรายชมรายการ “เฮลท์โซไซตี้” ด้วยกันนะคะ