“น้ำตาล” ร้ายยิ่งกว่าโคเคน
เราเคยได้ยินว่าน้ำตาลนั้น แม้ชื่อและรสชาติจะหวานแต่ก็มีโทษต่อร่างกาย หากทานเข้าไปในปริมาณที่มากนะคะ แต่คุณผู้อ่านรู้มั้ยคะว่า โคเคน ที่จัดว่าเป็นสิ่งเสพติดนั้น ให้โทษน้อยกว่าน้ำตาลซะอีก
จากการวิจัยพบว่าเราเสพติดของหวานง่ายมากกว่าโคเคนถึง 8 เท่า และมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ มีงานชิ้นหนึ่งที่ชี้ว่า น้ำตาลสามารถเหนี่ยวนำให้เกิด ปฏิกริยา ในสมองส่วน “ให้รางวัล” (reward center) เช่นเดียวกับโคเคน หรือเฮโรอีน และแอลกอฮอล์ ซึ่งปกติสมองส่วนนี้ จะหลั่งสารแห่งความสุข เมื่อได้กินอาหารและได้มีเซ็กซ์ อันเป็นกลไกสำคัญ เพื่อความอยู่รอดของมนุษย์ทำให้เรากินและมีเซ็กซ์ได้ไม่เบื่อ และจากหนังสือ Low Carb Energy เขียนเรื่องการเสพติดไว้ดังนี้
ความหวานกระตุ้นสมองที่ตำแหน่งเดียวกับ มอร์ฟีน เฮโรอีน และ โคเคน และยังอ้างถึงรายงานวิจัยของมหาวิทยาลัยรัฐเพนซิลวาเนียว่า เวลาเราอยากกินหวานๆ สมองจะมีปฏิกิริยาเหมือนเราอยากเสพมอร์ฟีน เฮโรอีน และโคเคน และเวลาเราได้กินหวานๆ สมองจะมีปฏิกิริยาเหมือนเรา ได้เสพ มอร์ฟีน เฮโรอีน และโคเคน ทั้งนี้มีการทดลองในหนู โดยให้หนูกินอาหารและน้ำหวาน เมื่อเวลาผ่านไปหนูกินน้ำหวานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และกินอาหารลดลง และเมื่อหยุดน้ำหวาน หนูจะเกิดอาการลงแดงทันที คือ ปากสั่น ตัวสั่น และเมื่อให้กินน้ำหวานอาการเหล่านี้ก็จะหายไป
คราวนี้แบ่งหนูออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกให้น้ำหวาน กลุ่มที่สองให้มอร์ฟีน โดยเริ่มจากกลุ่มแรกให้หนูกินน้ำหวาน พอหยุดน้ำหวานหนูจะเกิดอาการลงแดงทันทีเหมือนเดิม คือ ปากสั่น ตัวสั่นอีก แต่คราวนี้ให้ยาชื่อ naloxone พบว่า หนูหายจากอาการปากสั่น ตัวสั่น (ยา naloxone เป็นยาที่ใช้ช่วยในการเลิกยาเสพติดพวกมอร์ฟีนและเฮโรอีน) หลังจากนั้นเริ่มให้มอร์ฟีนหนูอีกกลุ่มหนึ่ง จนหนูติดมอร์ฟีนแล้วหยุดให้มอร์ฟีน หนูเกิดอาการลงแดงทันที ปากสั่น ตัวสั่น เค้าก็ให้ยา naloxone หนูก็หายลงแดงทันที ซึ่งเป็นลักษณะแบบเดียวกัน

แล้วทำไมเราถึงต้องพยายามหลีกเลี่ยงน้ำตาลด้วย ก็เพราะว่า เหตุของการเกิดโรคต่างๆมากมาย มาจากเจ้าน้ำตาลนี่เองไงล่ะคะ เช่น
- น้ำตาลทำให้เกิดสมาธิสั้น ความวิตกกังวล อารมณ์แปลกประหลาดในเด็ก งานวิจัยที่ทำในอังกฤษ โดยศึกษาในเด็กอายุ 3 ขวบ จำนวน 277 คน พบว่า ในช่วงที่เด็กกินอาหารที่มีความหวาน มีสีผสมอาหารและอาหารที่ไม่มีความหวาน ไม่มีสี พฤติกรรมของสมาธิสั้นจะลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่ง กลุ่มที่ทำงานวิจัยนี้มีข้อเสนอแนะว่า การลดปัญหาของอาการสมาธิสั้นคือ ให้เด็กกินอาหารที่มีความหวาน มีสีผสมอาหารลดลง เช่น ขนมสำเร็จรูปทั้งหลาย ขนมหวาน ลูกอม และน้ำอัดลม ขนมถุงจำพวกขบเคี้ยวทั้งหลายด้วย
- น้ำตาลสามารถกดการทำงานของเม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดขาวมีหน้าที่สำคัญคือ คอยทำลายเชื้อโรค และปกป้องร่างกายจากสิ่งแปลกปลอม คนที่บริโภคน้ำตาลสูง การทำงานของเม็ดเลือด โดยเฉพาะเม็ดเลือดขาว ที่เรียกว่า Tlymphocyte ซึ่งเป็นตัวหลักของภูมิต้านทาน จะทำงานลดลง
- น้ำตาลจะกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระ (Free Radicals) ได้ง่ายขึ้น เมื่อมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงภายในหลอดเลือด อนุมูลอิสระเหล่านี้ก็จะทำลายผนังหลอดเลือดทั่วไปหมด และทำลายทุกอย่างที่เลือดวิ่งไปถึงทุกเซลล์ของร่างกาย โดยเฉพาะผู้ป่วยมะเร็ง ในเซลล์มะเร็งมี Glucose receptor หรือ จุดสำหรับดูดซึมน้ำตาลเข้าเซลล์มากกว่าเซลล์ปกติถึง 24 เท่า แสดงให้เห็นว่าเซลล์มะเร็งมีความสามารถดูดซึมน้ำตาลได้เร็วมากและจำนวนมาก เพราะฉะนั้นคนไข้มะเร็งที่กินหวานก็เท่ากับส่งเสบียงให้เซลล์มะเร็งโดยตรง
- นอกจากนี้แล้ว ความหวานยังเพิ่มโอกาสการเป็นโรคร้ายหลายชนิด เช่น ลำไส้ใหญ่เป็นแผลอักเสบเรื้อรัง หอบหืด ข้ออักเสบ ไส้ติ่งอักเสบ ไมเกรน ซึมเศร้า โรคเหงือก ฟันผุ เบาหวาน อ้วน กระดูกผุ โรคหัวใจ และหลอดเลือดต่าง ๆ อีกมากมาย
ดังนั้นเมื่อเราทราบข้อมูลข้างต้นแล้ว ต่อไปใครอยากจะอร่อยปาก ด้วยความหวานของน้ำตาล ต้องหยุดคิดสักนิดและใคร่ครวญให้ดีว่า เราอยากจะหายจะโรคที่เราเป็นหรือโรคที่เราไม่อยากเป็นในอนาคต ด้วยการหยุดกินหวานได้แล้วหรือยังนะคะ
แวะมาคุยเรื่องสุขภาพกับนกได้ที่แฟนเพจ Facebook: Health Society by Nok Chalida ที่อินสตาแกรม NokHealthSo หรือ Line Official: @HealthSocieity นะคะ และอย่าลืม Subscribe รายการ Health Society by Nok Chalida ทาง YouTube พร้อมชมรายชมรายการ “เฮลท์โซไซตี้” ด้วยกันนะคะ